วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Influenza in children

ไข้หวัดใหญ่ในเด็ก

สาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ influenza สายพันธุ์ A หรือ B ซึ่งสายพันธุ์ A สามารถแบ่งเป็นชนิดย่อยได้ขึ้นอยู่กับ hemagglutinin (HA) และ neuraminidase (NA) ส่วนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ C บได้น้อย แต่สามารถพบได้โดยเฉพาะในเด็กเล็ก

การแพร่กระจายเชื้อ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดจากคนสู่คนผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ อย่างไรก็ตามยังสามารถติดต่อได้จากการหายใจผ่านละอองอนุภาคในอากาศได้

ระยะฟักตัว ประมาณ 1-4 วันโดยเฉลี่ย 2 วัน เชื้อไวรัส influenza A มีระยะแพร่เชื้อสูงสุดที่ 24 ถึง 48 ชั่วโมง แล้วลดลงอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถแพร่เชื้อได้หลัง 5-10 วัน ส่วนเชื้อ influenza B สามารถแพร่เชื้อได้สูง 2 ช่วง คือ ช่วง 48 ชั่วโมงก่อนมีอาการและอีกครั้งตอน 24-48 ชั่วโมงหลังมีอาการ

อาการ จะมาด้วยไข้สูงเฉียบพลัน ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย และอาการทางเดินหายใจ เช่น ไอ น้ำมูก เจ็บคอ ในเด็กเล็กมักจะมีอาการทางเดินหายใจน้อยแต่มีอาการทางเดินอาหารมากขึ้น ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหาร ในรายที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนมักจะค่อยๆดีขึ้นในเวลา 1 สัปดาห์ กเว้นอาการไออาจจะเป็นได้นานโดยเฉพาะในเด็กเล็ก

อาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง  อาจจะเป็นได้นานหลายสัปดาห์ในเด็กโต เรียกว่า post influenza asthenia

การตรวจเลือด อาจพบเม็ดเลือดขาวอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือต่ำลงเล็กน้อย ถ้าพบว่าเม็ดเลือดขาวมากกว่า 15,000 ให้สงสัย bacterial superinfection

ภาวะแทรกซ้อน

·      Otitis media มักพบได้ช่วง 3-4 วันหลังจากเริ่มมีอาการ

·      Pneumonia มักพบในรายที่มีความเสี่ยงหรืออายุน้อยกว่า 2 ปี ถ้าเป็น influenza pneumonia  มักจะเป็นไม่นานและมีอาการไม่รุนแรง แต่ถ้าเป็น bacterial coinfection ที่เกิดจาก staphalococcus aureus หรือ streptococcus pneumoniae อาการอาจจะรุนแรงและอาจเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว

·      Secondary Bacterial Infection ให้สงสัยในรายที่อาการดีขึ้นแล้วกลัแย่ลงหรือไม่ดีขึ้นหลังจาก 3-5 วันหลังเริ่มยาฆ่าเชื้อไวรัส หรือมีอาการไข้แย่ลงหลังจากเริ่มมีอาการ 1-2 สัปดาห์

·      ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น CNS complication (febrile seizure, encephalopathy, encephalitis), myositis, myocarditis

การวินิจฉัย

·      ในฤดูกาลระบาด ให้สงสัยในเด็กทารกที่มีไข้โดยที่อาจไม่มีอาการร่วมอื่น หรือ เด็กที่มีไข้ร่วมกับอาการทางเดินหายใจ การตรวจยืนยันแนะนำในบางรายได้แก่ เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีหรือในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน หรือในรายที่รับไว้ในโรงพยาบาล

·      อย่างไรก็ดีรายที่ตรวจไม่พบเชื้อก็ไม่ได้บอกว่าไม่เป็น และในรายที่ตรวจพบเชื้ออื่นก็ไม่ได้บอกว่าไม่มีการติดเชื้อ influenza ร่วมด้วย

·      การตรวจที่แนะนำคือการตรวจ molecular assay เช่น rt-PCR มากกว่าการตรวจ antigen detection test ในบางโรงพยาบาลอาจจะตรวจ antigen detection Test ก่อน ถ้า negative จึงตรวจยืนยันอีกครั้งด้วย rt-PCR

·      แนะนำให้ตรวจภายใน 24-96 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ เพราะมีเชื้อในจมูกมากที่สุด แนะนำให้ตรวจจาก midturbinate หรือเก็บ nasal specimen ร่วมกับ throat specimen

·      ในที่ที่มีการระบาดของโควิดร่วมด้วยแนะนำให้ตรวจ influenza พร้อมกับโควิดเพราะมีอาการคล้ายคลึงกัน

 

การรักษาไข้หวัดใหญ่

·      เริ่มจากการรักษาตามอาการได้แก่ เรื่องไข้ ปวดหัว เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ ให้กินยาพาราเซตามอลหรือ NSAIDs แต่ไม่ควรให้แอสไพรินในเด็กที่อายุน้อยกว่า 18 ปีเนื่องจากเสี่ยงทำให้เกิด Reye Syndrome

·      อาการไอและน้ำมูกรักษาเช่นเดียวกับไข้หวัด ซึ่งไม่แนะนำให้ยากินเนื่องจากไม่มีประโยชน์และพบอันตรายจากการกินยาเกินขนาดในเด็กได้บ่อย

·      แนะนำรับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาลในรายที่มีอาการหนัก เช่น มีอาการเหนื่อย ขาดน้ำ ซึมลงหรือมีภาวะแทรกซ้อนเช่น myocarditis, severe myositis, pneumonia

·      แนะนำให้ทำ standard precaution และ droplet precaution และให้หยุดอยู่บ้านนาน 24 ชั่วโมงหลังจากไข้ลง (อย่างน้อย 7 วัน ถ้าต้องใกล้ชิดกับคนที่มีความเสี่ยงสูง และไม่ควรมาแพร่เชื้อโรงพยาบาลในช่วงนี้)

·      ยาฆ่าเชื้อไวรัสถ้าเริ่มภายใน 48 ชั่วโมงจะมีประสิทธิภาพในการลดระยะเวลาการเป็นโรคได้ 1 วัน แนะนำให้ในรายที่มีอาการหนักหรือมีภาวะแทรกซ้อน โดยยาที่แนะนำ คือ oseltamivir หรือ peramivir ในรายที่กินไม่ได้

·      แนะนำให้ยาในรายที่อาการไม่หนักแต่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหรือต้องใกล้ชิดกับคนที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน หรือพิจารณาให้ในรายที่มาภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการ มียาที่สามารถให้ได้หลายชนิด เช่น oseltamivir, zanamivir, baloxavir, peramivir

·      ในรายที่มีหลักฐานการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย เช่น sinusitis, otitis media ให้ ATB รักษา

·      การติดเชื้อ bacteria pneumonia coinfection ทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ แนะนำให้ยาฆ่าเชื้อที่ครอบคลุม เช่น vancomycin + clindamycin

·      ในรายที่รักษาล้มเหลว อาจเป็นเพราะมีภาวะแทรกซ้อนเช่น myocarditis, encephalitis หรือ coinfection  หรือ เกิดจากการดื้อยา oseltamivir โดยเฉพาะในกลุ่ม immunocompromised ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดเชื้อและอาจพิจารณาให้ยา zanamivir หรือ peramivir แทน

การป้องกันด้วยวัคซีน

·      แนะนำให้เด็กที่อายุ > 6 เดือน ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง ในกรณีที่วัคซีนมีจำกัดแนะนำให้ในรายที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหรือคนที่ต้องดูแลเด็กที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนก่อน โดยชนิดและจำนวนวัคซีนขึ้นอยู่กับคำแนะนำในช่วงนั้นๆ

 

การป้องกันโดยการกินยา

·      การให้ anti-viral พบว่ามีประโยชน์น้อย คือ ลดความเสี่ยงลงได้ไม่ถึง 5%ต่มีผลเสีย คือ ส่งเสริมให้เกิดการดื้อยาขึ้น ซึ่งมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า คือ การให้วัคซีนในคนที่อายุ > 6 เดือน และ ในรายที่มีความเสี่ยงสูงเมื่อมีอาการให้เริ่มการรักษาให้เร็วที่สุดโดยไม่ต้องรอผลตรวจยืนยัน

·      การให้ยาฆ่าเชื้อไวรัสเพื่อป้องกันอาจจะมีข้อบ่งชี้ในบางสถานการณ์ ได้แก่
เด็กที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน แต่ให้วัคซีนไม่ได้ ไม่ตอบสนองต่อวัคซีน หรือได้วัคซีนมาไม่เกิน 2 สัปดาห์ก่อนเวลาที่อาจสัมผัสเชื้อ รวมถึงในคนที่จำเป็นต้องดูแลเด็กที่มีความเสี่ยงสูงที่ยังไม่ได้รับวัคซีน

·      การให้ยาหลังสัมผัสเชื้อ แนะนำให้ยา oseltamivir หรือ zanamivir ภายใน 48 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ โดยให้ยานาน 7 วันหลังจากสัมผัสเชื้อครั้งสุดท้าย

·      การให้ยาก่อนสัมผัสเชื้อ แนะนำให้ยานาน 14 วันระหว่างรอวัคซีนออกฤทธิ์ หรือให้นานได้ถึง 16 สัปดาห์ ในระหว่างที่ยังมีการระบาดในชุมชน

 

กรณีเกิดการระบาดในศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะยาว คือ มีมากกว่า 2 เคสภายใน 72 ชั่วโมง

·      นะนำให้กินยาป้องกันแม้ว่าจะเคยฉีดวัคซีนแล้ว หรือ ถ้ามีอาการแล้วให้กินยาขนาดรักษาหลังจากนั้นให้กินยาป้องกันต่อ โดยให้ยานานอย่างน้อย 2 สัปดาห์และ 1 สัปดาห์หลังจากที่มีเคสสุดท้าย

·      ทำการตรวจหาเคสใหม่ แยกคนที่ติดเชื้อออก สวมอุปกรณ์ป้องกัน และงดการเยี่ยมในกรณีที่ไม่จำเป็น

·      กรณีได้วัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิตไม่ควรได้รับยาภายใน 14 วันหรือถ้าได้รับยาต้องได้วัคซีนซ้ำอีกครั้ง เป็นชนิดวัคซีนเชื้อตาย

·      กรณีที่มีอาการติดเชื้อเกิดขึ้นระหว่างได้รับยากินป้องกันให้เปลี่ยนชนิดของยา

ภาคผนวก

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่

·      เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ผู้ใหญ่อายุมากกว่า 65 ปี ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดไม่เกิน 2 สัปดาห์

·      มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ได้แก่ โรคหืด โรคปอด โรคหัวใจ โรคสมอง โรคเลือด โรคตับ โรคไต โรคเมตาบอลิก  โรคภูมิคุ้มกัน โรคต่อมไร้ท่อ หรือ โรคอ้วนที่ BMI มากกว่า 40 รวมถึง เด็กอายุ < 19 ปีที่ต้องได้รับแอสไพรินระยะยาว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น