Common cold (adult)
- ไวรัสเป็นสาเหตุมี > 200 subtypes ชนิดที่พบมากที่สุดคือ Rhinovirus (> 100 serotypes) และเชื้ออื่นๆ เช่น Coronavirus, influenza, RSV, parainfluenza virus เป็นต้น ซึ่งเชื้อส่วนใหญ่สามารถเกิด reinfection ได้เมื่อได้รับเชื้อซ้ำ แม้ใน serotype เดิม แต่จะมีอาการน้อยกว่าและระยะเวลาที่เป็นจะสั้นกว่าเดิม
- การติดต่อ
- ส่วนใหญ่เกิดจาก hand contact ซึ่งเชื้อสามารถอยู่ที่ผิวหนังได้ถึง 2 ชั่วโมง และเชื้อไวรัสยังติดอยู่ตามของใช้ได้หลายชั่วโมง แต่ในพื้นผิวที่มีรูพรุน (ทิชชู ผ้าเช็ดหน้า) ไวรัสจะอยู่ไม่ได้จึงไม่ใช่แหล่งในการแพร่เชื้อ
- การติดต่อทาง droplet เชื่อว่าเป็นส่วนน้อย เพราะจากการศึกษา recirculated air ในเครื่องบิน ไม่พบว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- > 90% ของคนที่เป็นหวัดตรวจไม่พบเชื้อในน้ำลาย
- การแพร่กระจายเชื้อเกิดขึ้นสูงสุดในวันที่ 2 ของการเจ็บป่วย (วันที่ 3 หลังได้รับเชื้อ) และพบ viral shedding ได้ถึง 2 สัปดาห์
- หลังได้รับเชื้อจะมีระยะฟักตัว
24-72 ชั่วโมง
(อาจเร็วแค่
10-12 ชั่วโมง)
ในคนปกติจะมีอาการหวัดนาน 3-10 วัน
(25% เป็นนานถึง
2 สัปดาห์
โดยเฉพาะในคนที่สูบบุหรี่)
- อาการส่วนใหญ่เกิดจาก immune
response อาการเริ่มแรก คือ น้ำมูก คัดจมูก
ระคายเคืองคอ ต่อมาจะมีอาการไอ ซึ่งอาการไอจะเป็นนานกว่า อาจมีไข้ต่ำๆ จาม
ไม่สบายตัว ปวดศีรษะ ปวดหู ปวดหน้า; สีของน้ำมูกไม่ได้ช่วยแยก
common cold จาก sinus
infection
- DDx:
allergic/seasonal rhinitis (ไม่มีเจ็บคอ/ไอ), bacterial
pharyngitis/tonsillitis (ไม่มีน้ำมูก/คัดจมูก), acute bacterial
rhinosinusitis (มักปวดหน้า ร่วมกับน้ำมูกเป็นหนอง),
influenza (ไข้สูง
ปวดเมื่อยตัว), pertussis (ไอกำเริบหนักเป็นพักๆ หรือไอรุนแรง >
2 สัปดาห์)
- ภาวะแทรกซ้อน:
acute rhinosinusitis, lower respiratory tract infection (bronchitis,
bronchiolitis, pneumonia), asthma exacerbation (Rhinovirus-induced airway
reactivity ได้ถึง 4
สัปดาห์), acute otitis media
Tx:
- Mild symptoms ไม่ต้องรักษา แนะนำให้กลับมาตรวจซ้ำถ้าอาการแย่ลงหรือยังไม่ดีขึ้นตามเวลาที่ควรเป็น
- Moderate-severe symptoms ให้รักษาตามอาการ ได้แก่
- Analgesics ได้แก่ paracetamol, NSAIDs พบว่ามีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในการลดอาการปวดศีรษะ ปวดหู ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ อาการไม่สบายตัว และอาการจาม
- Antihistamine/decongestant combinations พบว่าได้ประโยชน์เมื่อใช้คู่กัน (NNT 4) เทียบกับการใช้ antihistamine อย่างเดียว มีผลข้างเคียง คือ ง่วง ปากแห้ง นอนไม่หลับ มึนงง
- Inhaled/intranasal cromolyn sodium ช่วยลดน้ำมูก เจ็บคอ และไอ
- Intranasal ipratropium bromide ช่วยลดน้ำมูก และอาการจาม มีผลข้างเคียงเรื่องจมูกแห้ง น้ำมูกมีเลือดปน และเลือดกำเดาไหล
- การรักษาที่ได้ประโยชน์ไม่ชัดเจน เป็นตัวเลือกเมื่อใช้การรักษาข้างต้นไม่ได้ ได้แก่
- Dextromethorphan ช่วยลดอาการไอลงได้ไม่มาก (12-36%) แต่มีความเสี่ยงต่อการใช้ยาในทางที่ผิด
- Decongestants
ได้แก่ pseudoephedrine
ช่วยลดอาการคัดจมูกลงได้เล็กน้อย
(6%), phenylephrine (ด้อยกว่า
pseudoephedrine), topical decongestant ใช้ได้
แต่ควรจำกัดการใช้ไม่เกิน 2-3
วัน
เพื่อป้องกันการเกิด rebound rhinitis
- Saline nasal spray มีแค่การศึกษาขนาดเล็ก อาจช่วยลดน้ำมูก และอาการคัดจมูก
- Expectorants ได้แก่ guaifenesin มีแค่บางการศึกษาที่ช่วยอาจลดอาการไอ
- Herbal products มีรายงานการศึกษารากของ Pelargonium sidoides ช่วยลดอาการหวัดได้
- Zinc ช่วยลดอาการหวัดได้ แต่มีผลเสียสำคัญคือ irreversible anosmia เมื่อใช้พ่นทางจมูก
- หลักฐานที่มีในปัจจุบันยังไม่แนะนำ
ได้แก่ antibiotic
(ได้ประโยชน์แค่ 5%),
antihistamines (1st generation อาจช่วยลดอาการน้ำมูก และจามได้ใน 2
วันแรก
แต่มีผลข้างเคียงเรื่อง sedation และ
eye/nose/mouth dryness), antiviral (มีการศึกษาเฉพาะเชื้อ rhinovirus),
vitamins, Echinacea, codeine, intranasal glucocorticoids, heated humidified air
Prevention
- Hand hygiene ล้างมือด้วย alcohol-based hand rub หรือล้างด้วยสบู่กับน้ำอย่างน้อย 20 วินาที ช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
- หลักฐานที่มีในปัจจุบันยังไม่แนะนำ
ได้แก่ probiotics, exercise,
sleep (มีเฉพาะการศึกษาใน rhinovirus
ถ้านอน
< 5 ชั่วโมงจะเป็นหวัดมากกว่านอน >
7 ชั่วโมง), zinc (มีเฉพาะการศึกษาในเด็ก),
vitamin C (ได้ประโยชน์เฉพาะกลุ่มออกกำลังกายอย่างหนัก),
vitamin D, vitamin E, face masks, herbal
products, gargling, leukotriene receptor antagonists (มีการศึกษาเฉพาะในผู้ป่วย
asthma)
- อากาศเย็นไม่พบว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหวัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น